รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ เรื่องย่อ คดีฆ่า 7 ศพ บ้านดอนกระโทก ว่าผู้ต้องสงสัยเป็นคนต่างชาติตามกฎหมายอังกฤษ แต่ยิ่งสารวัตรโหดยิ่งซักถามพยานที่อาศัยอยู่ ยิ่งพบก็ยิ่งแปลกใจ แม้บางคนคิดว่า วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับมือรางวัลได้ผ่านจุดสูงสุดของอาชีพไปแล้ว หรือดูจากจุดสูงสุดของกราฟใน ‘Gods and Ghosts’ (2549) หรือ ‘อินทรีแดง’ (2553) แต่ก็ต้องยอมรับว่าตามหลังหนังไทยยอดเยี่ยม งานของวิศิษฏ์ดูเหมือนจะจางหายไปจากโรงหนัง จนเริ่มกลับมาเห็นชื่อผ่านผลงานบน Netflix ที่มักรีไรท์ตั้งแต่เขียนบท ‘DEEP งานลับ หลับ ชีวิต ความตาย’ (2021) และกำกับ ‘Haunting Hole’ (2021) ก่อนจะกลับมากำกับอีกครั้งในปีนี้ . กับการฆาตกรรม นี่มันเป็นการฆาตกรรมแบบไหนกันนะ?

ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดย อภิเศก จิรธเนศวงศ์ นักเขียนชาวต่างประเทศที่ร่วมงานกับวิศิษฏ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ‘ปริศนารูหนอน’ แต่เปลี่ยนแนวจากน่าสนใจมากเป็นน่ากลัว มาในแนวนักสืบที่ซับซ้อน พลิกไปพลิกมา มีอารมณ์ขันแบบร้ายกาจและเน้นการใช้เสียงอีสานผสมอังกฤษตลอดทั้งเรื่อง หนังฉายผ่านสายตาสารวัตรณวัฒน์แห่งสถานีตำรวจภูธรดอนกระโทก ที่ควรลงมาซักถามพยานเพื่อค้นหาความจริงของฆาตกรชื่อดังในพื้นที่ ตอนต้นเรื่อง แสดงการตายอย่างโหดเหี้ยมถึง 7 ศพ ดูรุนแรงมาก ขัดกับเนื้อเรื่องที่ดูตลกโปกฮา จนผูกใจคนดูว่าหนังจะจบอย่างไร กลยุทธ์ที่ดึงดูดผู้ชมตั้งแต่ต้นจนจบ ความสงสัยยังคงดำเนินต่อไป เราดำเนินกระบวนท่าตามคำให้การของ 3 พยานที่มีความเห็นต่างกันว่าเกือบจะเป็นหนัง ‘ราโชมอน’

เมื่อมีคนมาช่วยวางผังและเดินเรื่อง ทำให้วิศิษฏ์ ตั้งใจอีกครั้งที่จะให้ภาพที่ดีแก่มัน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสไตล์การเล่นสีที่จัดจ้าน โดยใช้สีที่ตัดกันเพื่อดึงดูดสายตาของผู้ชมขณะที่พวกเขาเคยชินกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘ฟ้าทะลายโจร’ (2543) แต่ดูไม่ค่อยคล่องตัวในจอ คล้ายงาน ‘คนนคร’ (2547) และเมื่อมีการปรากฎตัวของนางเอกแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ก็ทำให้นึกถึงผลงานการกำกับของ ติ๊นา ที่เล่นสีสันอีสานได้อย่างน่าทึ่งอย่าง ‘แหยม ยโสธร’ (2548) แน่ใจว่าหนังจะตลกแต่หลังจากดูหนังครึ่งเรื่องแรกจริงจังมาก ยังเป็นความขัดแย้งที่กระตุ้นให้ผู้ชมต้องรีบร้อนและอยากรู้ผลต่อไป

อย่ากลัวเลยฝรั่ง กลัวคนไทยด้วยกันดีกว่า รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ แต่เมื่อประเด็นซับซ้อน วิศิษฏ์ก็พยายามใช้องค์ประกอบที่ไม่สับสนจนเกินไป นั่นคือแม้ว่าคำให้การของพวกเขาจะแตกต่างกันก็ตาม แต่เนื้อหาจะดี จนกระทั่งเหตุการณ์เริ่มซ้ำรอยในตอนจบของเรื่อง ซีรีส์เรื่องที่คิดว่าน่าติดตาม ซับซ้อน แต่ไม่ยากเกินไป ยังมีวิธีง่ายๆในการทำความเข้าใจเรื่อง และบางทีอาจเป็นเพราะมุกต้นเรื่องของอัยยังวะอาจซ่อนไม่สนิทจนเราแปลกใจเมื่อเฉลย แต่ก็เปิดเผยด้วยสายตาจนเดาสาเหตุได้ เรารู้เพียงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด แต่ยังต้องการตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง และภาพก็ยอดเยี่ยม ฉันใช้คำนี้เพราะมันรวบรวมเมล็ดทั้งหมดอย่างถูกต้อง แต่คงเรียกว่าดีที่สุดไม่ได้เพราะเวลายังมีข้อขัดแย้งอยู่มาก และมุกแรกที่ใช้อธิบายก็ตอบคำถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น ทำไมบางครั้งถึงสำคัญ? เหตุใดจึงมักไม่ได้ผล นี่ก็เป็นประเด็นข้อยุติที่อาจจะต้องละเว้นเพื่อรักษาธีมความสนุกเอาไว้

แต่ผมชอบคาแรกเตอร์ของหนังที่ตลกและขัดกับความจริงจังนี้มาก นั่นคือมีนวัตกรรมในการนำเสนอพอสมควร เราจะเห็นสไตล์ฟิล์มนัวร์สีเข้มในภาพยนตร์ไทย บริบทของเรื่องคือเมื่อข่าวพายุมา ความกลัวคืบคลานเข้ามาและเผยให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่หนังพูดอย่างมั่นใจเป็นครั้งแรกในหนังไทยว่าตัวละครไทยอีสานดูบ๊องๆ จริงๆ แล้วฉลาดกว่าและขี้กลัวกว่าคนผิวขาวเสียอีก นอกจากนี้ยังทิ้งความรู้สึกศรัทธาอันแรงกล้า ต่างก็เชื่อในคำทำนายว่าหมาแก่ไม่กัด เชื่อในเรื่องราวของรัฐบาล เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เชื่อในสิ่งที่หูได้ยิน เชื่อว่าผู้บริสุทธิ์บริสุทธิ์ เชื่อว่าสิ่งที่เคยรู้มานั้นเป็นความจริง รสชาติเยี่ยมที่กระตุ้นสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เรื่องราวหลักถูกเปิดเผย แต่ความเจ็บปวดที่แหลมคมยังคงอยู่

คุณภาพนี้ควรได้รับการชื่นชมในการแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมรู้สึกมีความสุขเหมาะสมกับประเภทของภาพยนตร์ ละครที่น่าเชื่อถือของ อั้ม อิษยา ฮอสุวรรณ ในบท ทราย พยานของเมียฝรั่ง และ เอี้ยง สวนีย์ อุทุมมา ในบท พยานคนที่สอง แม่ของทรายไม่ดังมากแต่สนับสนุนทุกคน , ชนณิชา ไชยอาภา ในบท จูน พยานปากสุดท้ายของเด็กที่เล่นเป็นสาวงามได้ กับนักแสดง เจมส์ เลเวอร์ รับบทเป็น เอิร์ล สามีของทราย และอดีตผู้ต้องสงสัย เราก็งง ว่าเขารักหรืออันตราย

สิ่งที่ Tina นำเสนอคือการค้นหาความจริงมากกว่าผู้ชม เราก็งงใส่ในร่างกายของโลกได้ เพราะหาง่าย และคุ้นเคยกับพระแม่ จะเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้มีการออกแบบกลวิธีให้กระทบใจผู้ชมในหลายๆ ข้อน่าวิจารณ์ของหนังนอกจากความตลกหลักที่เดาง่ายพอสมควรแล้ว นี่เป็นที่มาของภาพสีเขียว และการเล่นสีที่ไม่สม่ำเสมอในบางฉาก ไม่ว่าจะตั้งใจให้ดูดราม่าเหมือนหนังโบราณก็ยากที่จะบอกได้ แต่ถ้าสะอาดและเหมาะสมกับฤดูกาลก็น่าจะดีไม่น้อย

รีวิวและสรุป กับหนังไทย  มู๊ดโทนดี ที่ต้องดู

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมนักแสดงจากเรื่อง นางเงือก ? นักแสดงทำได้ดี แม้แต่น้องเล็กที่เล่นเป็นจูนตอนเด็ก (ดูเหมือน) จะเข้าใจและชอบบทนี้โดยเฉพาะฉากที่น้องเล็กต้องเล่นเป็นคู่รัก กับพี่แหม่มดูจะหงุดหงิดเพราะยิ่งพี่แหม่มสืบก็ยิ่งรู้ว่าสองคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ หลังจากที่เราคบผู้หญิง? นักฆ่ารายนี้บอกเลยว่าอิ่มมากเพราะตัวหนังเองสามารถผูกทุกอย่างเข้าด้วยกันในตอนท้ายได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นพล็อตเรื่อง และสิ่งที่สำคัญที่สุด เรายังรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์ควรจะเป็น ไม่ยืดเยื้อ ทุกฉากมีความสำคัญ ไม่มีภาพ หรืออีกนัยหนึ่งคือการผสมผสานกัน และพล็อตของหนังเรื่องนี้ก็คิดมาอย่างดีซึ่งหาดูได้ยากในเมืองไทยแล้ว

อีกทั้งตามธีมและอารมณ์ของหนังบอกเลยว่าไม่ติด! เราโตมาในสังคมที่มีแต่เสียงหนัง ต้องบอกว่าทีมผู้สร้างใส่ใจรายละเอียดหรือการตกแต่งเป็นอย่างดี เพื่อเก็บข้อมูล แม้แต่ชุดเพลง พอได้ดูก็รู้ว่า “นี่แหละ คลังเด็กของประเทศจริงๆ” ไม่รู้ว่าร้านอื่นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ก่อนตอนฉันยังเด็ก ฉันเปลี่ยนแค่ชุดนักเรียนหลังจากอาบน้ำและเข้านอนเท่านั้น และยิ่งเราพยายามเก็บรายละเอียดของหนังเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี ทั้งมุกตลก เรื่องเมียฝรั่ง ผู้หญิงต่างชาติ ผู้หญิงธรรมะ งานบาร์ (จริงๆ รูปไม่เยอะมาก) .

แต่ตัวละครพี่แหม่มน่าจะพูดถึงเป็นตัวละครที่เราไม่ค่อยได้เห็นในหนัง เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นๆ กัน ตำรวจส่วนใหญ่จะใจเย็นๆ ทั้งนั้น แต่พี่แหม่มก็แนวๆ นี้ แต่พอมามองกันอีกที ยิ่งรู้ว่า นายตำรวจคนนี้มีของๆ อยู่ แต่ขึ้นอยู่กับความ วิธีการที่เลือกใช้ในการซักถามผู้ต้องสงสัย เพราะเมื่อใครเห็นจะได้รู้ว่าวิธีการที่พี่แหม่มใช้ซักถามพยานด้วยกันและที่กล่าวหาแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน บอกเลยว่า สนุกและมันส์แน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง