รีวิวหนัง Zom 100

รีวิวหนัง Zom 100 เรื่องย่อTendo Akira เป็นพนักงานบริษัทที่ถูกใช้เป็นทาส จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ซอมบี้โจมตีเมือง เขารู้ว่าเขาอยากถูกซอมบี้กินมากกว่า ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เทนโดก็นั่งเขียนลิสต์ 100 สิ่งที่อยากทำก่อนที่จะกลายเป็นซอมบี้และใช้ชีวิตต่อไป ‘Zom 100: Bucket List of the Dead’ สร้างจากมังงะโชเน็น ตีพิมพ์ในญี่ปุ่นไปแล้ว 14 เล่ม สร้างสรรค์โดย Aso Haro และวาดภาพประกอบโดย Tanaka Kotaro ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน ใครสงสัยว่าทำไมตัวละครเอกถึงคุ้นๆ เหมือน ‘Alice in Borderland’ ก็เพราะอาจารย์ Aso เป็นคนเขียนและวาดการ์ตูนเรื่องอลิซ

และแม้ว่า ‘Zom 100’ จะมีธีมของการค้นหาความหมายของการมีอยู่ของตัวเอก แต่เขามีแผนการที่ชัดเจนของเขาเอง ฉากหลังเป็นโลกซอมบี้ซึ่งเรื่องราวเปลี่ยนไป และความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ได้มาจากการทำงานให้กับบริษัทที่กดขี่พนักงาน นี่เป็นปัญหาสังคมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Buraku Kigyō หรือ Black Company ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในโลกที่นิยามคำว่า Karoshi หรือการทำงานหนักเกินไปจนเสียชีวิต ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับผู้อ่านยุคใหม่ที่กำลังเผชิญกับปัญหาความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

ดังนั้น ‘Zom 100’ จึงผสมผสานสองประเพณีสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ไม่น่าแปลกใจที่มังงะเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนได้รับการสร้างเป็นอนิเมะในปีนี้ด้วย หมายความว่าคนที่ชอบเรื่องนี้คงเคยดูเรื่องเดียวกันแต่ผ่านสื่อต่างๆ กัน รวมทั้งหนังสดเรื่องนี้ 3 รอบติดๆ กัน (คนไทยส่วนใหญ่ผมหมายถึงมังงะแปลไทยเพิ่งตีพิมพ์เล่มแรก เมื่อไม่นานมานี้) และถ้าคุณดูซีรีส์อนิเมะที่ออกอากาศไม่กี่ตอนก็ปรับปรุงไม่น้อย ภาพยนตร์และคุณภาพของเสียงและเสียงที่น่าสนใจ แต่ไม่ทิ้งภาระของ บริษัท ทาส (ภาค 1 ได้รับคะแนน IMDb 9.1 ในวันแรก) ตอนแรกผมคงรู้สึกว่าหนังมันห่วยไม่เท่าประสบการณ์ดูหนังญี่ปุ่นหลายเรื่องที่ดัดแปลงมาจากมังงะแน่ๆ

งานหนักไม่เคยฆ่าใคร แต่ถ้าไม่ได้ใช้ชีวิต รีวิวหนัง Zom 100

รีวิวหนัง Zom 100 แต่เมื่อดูเบื้องหลังของเรื่องแล้วต้องบอกว่าผิดคาดอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากโปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูกว้าง ทั้งมุมกล้อง การเคลื่อนกล้อง การวางผังเมือง แสง สี ความสวยงาม และ CG โดยเฉพาะเนื้อเรื่องและแอคชั่นก็อยู่ในรสนิยมทั่วไป อาจเพราะเป็นโปรเจกต์ข้ามชาติของ Netflix เอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้กำกับคือ Ishida Yusuke (ยูสุเกะ) ที่ทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เด็กใน Netflix อย่าง ‘Re:Mind’ (2017) เก่งมาก

‘Zom 100’ เป็นภาพยนตร์ไทม์แลปส์ที่ครอบคลุมภารกิจแต่ละส่วน หลังจากแก้ปัญหาแรกเสร็จ ภารกิจใหม่ก็ดำเนินต่อไป เริ่มจากเคลียร์ปมในใจกับผู้ใหญ่คนสวยที่เราเจอในบริษัท แก้ปัญหากับเพื่อนเก่าที่แย่งชิงหัวใจของหญิงแกร่งที่มีบุคลิกแตกต่างกันมาก เพราะคนหลักต้องทำหน้าที่เก็บทุกคน ก่อนจะไปพบกับ Supreme Leader และ Last Leader และพบกับซอมบี้ยักษ์อีกครั้ง

ฉันสงสัยว่าคนที่ไม่ได้อ่านมังงะหรือดูอนิเมะจะไม่ชอบพล็อตเรื่องนี้ แต่คนที่เคยดูมาก่อนจะรู้สึกว่าผู้สร้างใช้ความพยายามอย่างมากในการจับภาพช่วงเวลาสำคัญ ในภาพยนตร์ให้สมบูรณ์ที่สุด แฟนๆ จะรู้สึกว่าภาพยนตร์ต้นฉบับดีกว่าแฟนๆ ที่มาดูตัวอย่าง

แล้วคุณคิดว่า Netflix จะเลือกคนที่เหมาะสมกับงานครั้งนี้ได้อย่างไร? มังงะมีเรื่องสำคัญ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในแง่ของจำนวนสิ่งที่ศิลปินอยากทำก่อนเสียชีวิต เนื่องจากเมื่อมีการพลิกผันมากมายของภาพยนตร์ในเวลาสองชั่วโมง จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกเล่าเรื่องราว แต่ผู้กำกับ Ishida ปรับแต่งและทำซ้ำเรื่องราวโดยไม่สูญเสียรสชาติของมังงะและในเรื่องดั้งเดิม เนื่องจากผู้กำกับอิชิดะเป็นหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่เติบโตในโรงภาพยนตร์ ซึ่งมาจากผลงานการออกแบบของภาพยนตร์เรื่อง Attack on Titan แถลงข่าวที่ยังมีอีกหลายภาคส่วนกำหนดแนวทางผ่านเหตุการณ์ต่างๆ

นักแสดงก็เป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน นอกจากเหตุการณ์อันตรายและความวุ่นวายที่ใกล้ตัวผู้ชมแล้ว การเลือกอากาโซะ เออิจิที่เคยเล่นคาเมนไรเดอร์ครอสก็น่าสนใจเช่นกัน อาหัสบอกว่าถ้าเขาเข้าใจ เขาคือคนงานใหม่ หัวอ่อน และถ้าไม่มีความสุขและต้องการฆ่าคนเพื่อผลประโยชน์ เพื่อเป็นกำลังใจที่ดีของคุณ ส่วนนางเอกได้ Shiraishi Mai อดีตไอดอลของ Nogizaka 46 มารับบทเป็น Shizuka ผู้หญิงที่เข้มแข็งจะตรงไปตรงมาและมั่นใจมากกว่าการเข้าใจและมุ่งมั่น ด้วยใบหน้าที่สวยจนหยุดมองไม่ได้โดยเฉพาะไฝที่เด่นชัดบนริมฝีปาก ดวงตากลมโตที่สดใสแต่งดงาม คอนทราสต์ที่สวยงามซึ่งเข้ากับบุคลิกของตัวละครหลัก

‘Zom 100: Bucket List of the Dead’ เป็นหนังซอมบี้ที่มีโครงเรื่องที่แตกต่างจากหนังซอมบี้ทั่วไปในแนวตลก ด้วยการใส่รายละเอียดแบบญี่ปุ่นลงไปในภาษาหนังสากลจนหนังซอมบี้เรื่องอื่นไม่สามารถวัดได้ถูกต้องและถึงกับบอกว่าเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง แต่ข้างในพูดถึงปัญหาสังคมและโรคจากการทำงานของผู้คนในปัจจุบัน เราเลือดไหลไปตามความเร็วของเวลาและเทคโนโลยี หรือถูกควบคุมโดยคนอื่น จนลืมมองว่าเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรือทิ้งความฝันไว้เป็นพลังสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะมันน่าเศร้าในภาพลักษณ์ที่ไม่สำคัญมากนักที่ปล้นเอาชีวิตอันมีค่าไป คนหนุ่มสาวไม่สามารถให้อภัยได้ เพราะตอนเด็กเรามีโอกาสใช้ร่างกายและกำลังเพียงครั้งเดียว

 หนังดัดแปลงจากอนิเมะที่เน้นดูเพลินครบรสหลากอารมณ์

รีวิวหนัง Zom 100  สำหรับหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่าตั้งหน้าตั้งตารอตั้งแต่มีการประกาศ แค่ดูเนื้อเรื่องก็อยากดูแล้ว แต่ภายหลังพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือมังงะ และอนิเมะเรื่องแรกก็ได้เริ่มฉายไปเมื่อเดือนที่แล้ว ที่ดูฉบับอนิเมแล้วจะรู้ว่าพล็อตเรื่องไม่ใช่แค่ขายมุข แต่มีการเปรียบเปรยเล็กๆ จริงอยู่ที่เวอร์ชั่นอนิเมดีมากแต่หนังผมว่าไม่ค่อยดีแต่ก็ไม่ได้แย่ หนังต่างจากอนิเมเพราะข้อมูลบางอย่างถูกตัดทอนเพื่อเล่าเรื่องให้ได้มากที่สุดใน 2 ชม. จึงเทียบกันไม่ได้เพราะประวัติศาสตร์หนังและซีรี่หรืออนิเมเต็มๆ มันแตกต่างกันมาก หนังควรเล่าเรื่อง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าหนังทำส่วนนี้ได้ดี โดยเน้นไปที่พัฒนาการของตัวละครหลัก

สำหรับปัญหาทั้งหมดก็ไม่เลว ต้นแบบนั้นสั้นและรวดเร็ว หากเป็นเพียงตัวละครหลักเพื่อไม่ให้ผู้ชมเบื่อ จากนั้นแนะนำบุคคลสำคัญ 2 คน คือเพื่อนของตัวละครหลักและผู้หญิง แต่เอาเข้าจริงพล็อตค่อนข้างสำเร็จ สม่ำเสมอ เป็นกันเอง หนังญี่ปุ่นฟีลกู้ด ไม่แปลกใหม่ ผูกปมพระเอกหลงทางสับสน เมื่อฉันใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ ความคิดของฉันเปลี่ยนไปและฉันมีความมั่นใจมากขึ้น นี่เป็นหนังตลกเรื่องแรกที่ฉันเคยดู รวมถึงข้อความที่หนังต้องการจะสื่อก็ชัดเจนและทรงพลัง เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ลุคจำเจที่ดูสนุกและมีความสุข อย่างจานแรกอร่อยจนต้องกินหลายรอบ เขาผสมหลายอารมณ์ได้ดี ทุกส่วนของตัวละครหลัก ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับเพื่อนซี้ อารมณ์ขัน ความน่ากลัวของซอมบี้ ทุกสิ่ง และแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม เขาผสมกัน ไม่มีอะไรมากหรือน้อย

เรามาต่อในส่วนของการแสดงกันเลย ส่วนนี้เป็นไปตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ผู้เล่นจะมุ่งเน้นไปที่เกมใหญ่ การแสดงดีๆ แบบนี้ ถ้าใครดูหนังญี่ปุ่นหรือเป็นแฟนหนังญี่ปุ่นมานานก็ไม่ควรเสพ แต่ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับการแสดง การตัดต่อ และ Little Hollywood อาจจะต่างออกไป และซิลลี่บ้าง แต่ก็มีมุมพอตัว วิวดี ไม่ใหญ่จนน่าเบื่อ ส่วนภาพอื่นๆ ส่วนนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีและใช้งานได้ทันที ภาพทำได้ดี โทนสีก็ดีด้วย เปลี่ยนไปตามอารมณ์และสถานการณ์ในเรื่อง จังหวะก็สดใส สีของภาพก็สดใสด้วย แต่ฉากสยองซอมบี้ ภาพมาโทนมืด ความกลัวที่เพิ่มขึ้น และสิ่งสุดท้ายคือการผลิตงาน น่ากลัวทุกฉาก ยกเว้น CG ดีๆ ฉากนี้ของจริง ซอมบี้ที่ดูน่ากลัวได้รับการตกแต่งอย่างดี การใช้เสียงและดนตรีประกอบก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยรวมแล้วเป็นหนังซอมบี้ที่ไม่ขายความกลัวหรือความเศร้า แต่ก็ให้พลังงานและแง่คิดที่ดีแก่ผู้ชม ภาพใสๆ ซ่อนความคมไว้ ดูขำๆ รวดเร็ว ไม่น่าเบื่อ เหมาะกับคนหาภาพกินแก้เบื่อในวันหยุด เพราะรีวิวนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัว ฉันไม่มีความสุขไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความสุข วิธีที่ดีที่สุดคือการดูและตัดสินทุกคนด้วยตาของพวกเขาเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง