รีวิวหนัง Oppenheimer หากเราพูดถึงผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากๆ ชื่อของ Christopher Nolan (คริสโตเฟอร์ โนแลน) จะต้องถูกพูดถึงในทุกบทสนทนาอย่างแน่นอน ด้วยประสบการณ์การเป็นนักเล่าเรื่องมือฉมังที่ผสมผสานเรื่องราวที่ซับซ้อนลุ่มลึกเข้ากับผลงานพิเศษและความรุ่มรวยของการใช้ภาษาภาพยนตร์เพื่อนำเสนอเรื่องราวที่หาดูได้ยากให้หลายคนติดตามและเป็นแรงบันดาลใจ สมองทำงานตลอดเวลา
ด้วย ‘Oppenheimer’ ภาพยนตร์เรื่องที่ 12 ยังคงรักษาความซับซ้อนและแง่มุมทางเทคนิคของการฟังไว้ทั้งหมด และจริงจังมากขึ้น เพราะจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ของเขามักมีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจเสมอ แต่ภาพนี้เราสามารถตั้งชื่อได้ “โคตรฮิตรวมทฤษฏีลึกล้ำ” สำหรับหนังตัวพ่อของ Nolan ก็ไม่ผิด หนังจะเชื่อมโยง 2 สิ่งเข้าด้วยกัน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องราวการล่าแม่มดในยุคของวุฒิสมาชิกโจเซฟ แม็กคาร์ธี เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (ซิลเลียน เมอร์ฟี) กำลังถูกสอบสวนจากข้อกล่าวหาเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถูกสร้างขึ้น
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง Oppenheimer ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาในการรวมจิตใจของนักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์เพื่อเอาชนะพวกนาซี ภายใต้อำนาจของผู้พันเลสลีย์ โกรฟ (แมตต์ เดม่อน) ออพเพนไฮเมอร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงสองคน คิตตี้ ออพเพนไฮเมอร์ (เอมี ลี บลันท์ (เอมิลี่ บลันท์) ภรรยาของเขา และฌอง แทตล็อก (ฟลอเรนซ์ พิค) ผู้หญิงที่เขาพบในพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งสองจะรวมถึงลูอิส สเตราส์ (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) อดีตผู้อำนวยการสถาบันพลังงานปรมาณู ซึ่งขณะนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่ง สถานะ รีวิวหนัง Barbie
รีวิวหนัง Oppenheimer ยอมรับตามตรงว่าเรื่องย่อที่ทุกคนได้อ่านมานั้นถูกรวบรวมให้เข้าใจง่าย เพราะเมื่อนำมาเป็น Nolan Variation ในแบบฉบับของผู้กำกับที่เล่นเรื่องราวสามย่อหน้าที่คุณอ่านอยู่ทั้งหมด จะได้รับทิศทางใหม่ที่อาจเรียกให้ผู้ชมต้องแก้ไขและจดจ่ออยู่กับเรื่องราว เช่น หากโนแลนใส่ฟิชชัน – ฟิชชันและฟิวชัน – การหลอมรวมของอุปกรณ์นิวเคลียร์เป็นหัวใจของเรื่อง
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่โนแลนต้องการให้ผู้ชมรู้ว่าชีวิตของบิดาแห่งการทำลายล้างของ Oppenheimer เป็นแผนกหนึ่งของแพทย์ที่เก่งกาจและแพทย์ที่เก่งกาจ ชายหนุ่มและนักโทษการเมืองที่ต่อสู้กับความอยุติธรรม บุคลิกที่แตกต่างกันของพวกเขาทำให้ผู้ฟังสับสน ปฏิเสธไม่ได้ว่าโนห์กล่าว LAN ที่เรารัก นอกจากนี้ การแทรกฉากด้วยประกายไฟจากการระเบิดของนิวเคลียร์ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งความสยองขวัญและตื่นเต้นของ Oppenheimer ท่ามกลางบทสนทนาแบบอินเทอร์แอกทีฟ แต่หนังกลับไม่น่าเบื่อเลย รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ
ส่วนอีกแอคชั่นที่ถือว่าได้ใจคนดูเพราะหนังยังคงเล่าเรื่องด้วยบทสนทนา นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของ Oppenheimer กับภรรยาและนายหญิงของเขา และความสัมพันธ์ที่ยากลำบากระหว่างเขากับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ในที่นี้ โนแลนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาในฐานะนักประวัติศาสตร์ในขณะที่เขาผสมผสานกระบวนการทางการเมืองเข้ากับเทคนิคและเทคนิค (Surrealistic) ตรงนี้ต้องขอย้ำกันอีกครั้งว่าหนังมีฉากที่ไม่พอ ฟลอเรนซ์ พิว และคิลเลียน เมอร์ฟี ร้อนแรงราวกับไอของระเบิดปรมาณู
ส่วนองก์สุดท้ายยอมรับว่ายังไม่ได้ดูหนังขององก์สุดท้ายที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย เพราะมันแตกต่างจากการเพลิดเพลินกับผลงานของ Hoyte Van Hoytema ผู้กำกับภาพอันเป็นที่รักของโนแลน นอกจากนี้ยังผสมผสานความรุ่งโรจน์ของชีวิตของ Oppenheimer เข้ากับความโศกเศร้าของมนุษยชาติด้วยวิธีการที่ไพเราะแต่งดงามและอย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น
แม้แต่สาวกของคุณพ่อโนแลนก็ไม่แปลกใจกับความก้าวหน้าในการรวมทฤษฎีแห่งความเข้าใจเข้าไว้ในประสบการณ์ภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนใคร.. ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์และความลื่นไหลของเวลาที่เคยเกริ่นไว้ใน ‘Interstellar’ ‘Dunkirk’ หรือ ‘Tenet’ ผลงานล่าสุดที่หยิบเอาแนวคิดทางจิตวิทยาที่เล่าขานกันมาตั้งแต่ ‘Memento’ ‘Insomnia’ หรือ ‘Inception’ ปาฏิหาริย์มารวมไว้ในตัวหนังสือ
และที่ถือว่าพัฒนาขึ้นเป็นลำดับสร้างความประทับใจให้กับนักแสดงทุกคน และครั้งนี้ น่าจะส่งให้ Killian Murphy และ Robert Downey Jr. ที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ประกอบด้วยผลงานสร้างสรรค์มากมาย เช่น บทประพันธ์ของ Ludwig Göransson ที่เป็นเหมือนอีกบุคคลหนึ่งและเล่นกับอารมณ์ของผู้ชม ประกอบกับภาพยนตร์ที่กระตุ้นให้ผู้ชมได้สัมผัสกับอวกาศ
และแน่นอนว่าการไปดูหนังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระบบ IMAX และ Laser ถือเป็นหนึ่งในหนังที่น่าจดจำที่สุดของปี 2023 อย่างไม่ต้องสงสัย หนังดีมาก แล้วขยายฉากในหนังที่ฉายในโรง IMAX ปีนี้และมากที่สุด ที่สำคัญคือเสียงในโรงดังมากโดยเฉพาะฉากสุดท้ายของการทดสอบนิวเคลียร์ที่เหมือนจะกินใจคนดู
รีวิวหนัง Oppenheimer เป็นชีวประวัติของ J. Oppenheimer ชายผู้มีปัญหามากมายในตัวเองแต่กลับถูกเพิกเฉยต่อความเฉลียวฉลาดของเขา เมื่อเขาถูกขอให้ช่วยหาทางยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาชี้ไปที่เป้าหมายเดียวของเขา: อาวุธปรมาณูที่มีพลังทำลายล้างที่สามารถหยุดสงครามทั้งหมดได้
“คริสโตเฟอร์ โนแลน” คือ คริสโตเฟอร์ โนแลน พ่อของเขายังคงสร้างผลงานยอดเยี่ยมที่ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย เป็นอีกครั้งที่มันเป็นหนังที่เติมเต็มแนวคิดและแนวคิดของโนแลนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเวลานี้จะเป็นการเปลี่ยนจาก Warner Bros. เป็น Universal แต่ความคิดสร้างสรรค์ของเขายังคงปรากฏชัดและทำให้แน่ใจว่ามีการติดตั้งด้วยวิธีที่ดีมาก ” นักเขียนหน้าใหม่ จากงานเขียนชื่อดังของ “มาร์ติน เชอร์วิน” เขาหยิบเรื่องราวของออพเพนไฮเมอร์มาสานเป็นสื่อสิ่งพิมพ์เอง และยังถือเป็นผลงานทางศิลปะชั้นเยี่ยม ในการดำเนินเรื่องโดยคุณพ่อโนแลน เป็นหัวเรื่องที่เต็มไปด้วยแง่มุมมากมาย และวิธีการยืนหยัดในความเชื่อท้าทายผู้ชมเป็นเวลา 3 ชั่วโมง
แต่แน่นอนว่าหนังอย่าง Oppenheimer อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน แม้ว่ามันจะเป็นหนังยอดเยี่ยมอีกเรื่องในปีนี้. แต่มันไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับการแสวงหาความบันเทิง เพราะเรื่องนี้มาในโทนขึงขัง จริงจัง รุนแรง แทบจะร้อยเรียงเรื่องราวเป็นซีรีส์ ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยบทสนทนา พูดได้อย่างปลอดภัยว่ารูปภาพวลีมากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์แทบไม่มีโอกาสหายใจ Oppenheimer ภาพรวมที่มีคุณภาพและความซับซ้อนของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ประยุกต์ ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่องค์ประกอบที่ผู้ชมทุกคนไม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย และจังหวะเหล่านี้ยังติดอยู่กับภาพยนตร์ทั้งเรื่องใน 180 นาที ดังนั้นมันจึงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนใคร และผู้ชมต้องลุกขึ้นมาจัดการกับข้อมูลทั้งหมดที่จะท่วมเข้ามาภายใน 3 ชั่วโมงระหว่างชมภาพยนตร์ เพราะไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมา…
อย่างไรก็ตามหนังยังมีกำลังใจที่ดี คือ กองทัพนักแสดงในเรื่องที่ใช้คำว่ากองทัพจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะถ้าภาพยนตร์ที่แข่งขันกันเรื่อง “Barbie” นำดารามากขึ้น Oppenheimer เรื่องนี้ก็ไม่น้อยหน้า เพราะนี่คือหนังที่เต็มไปด้วยคนดี เน้นฉากมาก ฉากน้อย เติมให้หมด และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทรงพลังด้วยองค์ประกอบการทำงานของมืออาชีพที่ชื่นชมการแสดงของ “คิลเลียน เมอร์ฟี” และนี่คือหนึ่งในบทบาทที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดง บทบาทนี้สร้างมาเพื่อเขาจริงๆ เขาทำราวกับว่ามันง่ายที่จะทำ แต่ด้วยการตีความของ J. Oppenheimer ในแบบที่เขาประเมินตัวเอง มันจึงเต็มไปด้วยแง่คิดที่น่าสนใจและน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง เขาควรจะได้ที่นั่งแถวหน้าในงานประกาศรางวัลในปีหน้า
นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ใน Oppenheimer ทำให้เราขนลุก: Emily Blunt, Matt Damon, Jason Clarke, Alden Eure นอริช”,”ฟลอเรนซ์ พิวจ์” หรือ “เคนเนธ บรานาห์” จัดเต็มทุกฉากไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แต่ใครที่ทำได้ดีสุดยกให้ “โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์” และนี่คือหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของ อาชีพของเขา การแสดงของเขาน่าทึ่งและส่งไปคนละทิศละทางจนคุณร้องว้าว รีวิวหนัง Zom 100
รีวิวหนัง Oppenheimer และสิ่งสำคัญคือองค์ประกอบที่สวยงามของภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของโนแลนและการผลิตพิเศษของพวกเขา ที่ใส่ใจในรายละเอียดของงานภาพและเสียงเสมอจนน่าทึ่งจนได้รับเสียงปรบมือกึกก้องเมื่อได้ทราบรายละเอียดเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่ใช้เทคนิคพิเศษหรือ CG ก็ทึ่งในความสามารถของคริสโตเฟอร์ โนแลนดีกว่า
ออพเพนไฮเมอร์เต็มไปด้วยความสวยงามทั้งในด้านภาพ รูปแบบกล้อง แสง และเอฟเฟ็กต์ภาพ ในช่วงกลางเรื่องและรายละเอียดที่น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็มีงานด้านภาพของ Nolan มาช่วยปรับสมดุลความรู้สึก มันคุ้มค่าที่จะนั่งที่นี่และดูองค์ประกอบที่คมชัดและละเอียดของเขา ผสมผสานกับการออกแบบที่ดีที่ส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย นับเป็นกำไรของผู้ชมที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งรับชมได้เฉพาะในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว ออพเพนไฮเมอร์ ก็ยังถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน โดยแทบไม่ต้องวิจารณ์เลย มันใกล้จะสมบูรณ์แบบมากและดูเหมือนว่านี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องแรกในปีนี้ที่มีตำแหน่งบนเวทีรางวัล เข้าถึงคนดูค่อนข้างยาก เพราะเนื้อหาของหนังค่อนข้างมีเอกลักษณ์ กล่าวคือ เป็นหนังที่ทรงพลังของสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาเลือกที่จะแนะนำค่าในมุมมองทางฟิสิกส์เท่านั้น
รีวิวหนัง Oppenheimer ก่อนที่คุณจะเยี่ยมชมคุณอาจคิดว่า นี่อาจเป็นภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ดูง่ายที่สุดเพราะประวัติศาสตร์ของมัน หนังที่เล่าจากเรื่องจริง เมื่อถึงเวลา มาเยือนจริง ๆ ก็พบว่า แม้จะใช่ แต่ก็ไม่ง่ายนัก เพราะหนังมีคนเข้ามาชมไม่ขาดสาย พวกเขายังต่อสู้กันในการสนทนาหลายครั้ง เล่าเรื่องและปรับเวลาแต่หนังเข้าใจได้ไม่ยากนักว่าผู้กำกับต้องการสื่ออะไร
เป็นหนังที่มีบทสนทนามากมาย มันเหมือนกับการรวบรวมข้อมูลมากมายสำหรับผู้ชม เพื่อแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับมนุษยชาติและสงคราม การไล่ล่าเริ่มต้นขึ้นในชีวิตของตัวละครหลักซึ่งเป็นแพทย์ผู้ปราดเปรื่องในยุโรป ซึ่งทำให้เราเห็นตัวตนและประวัติที่ซับซ้อนของเขา ก่อนจะตัดสินใจเดินทางกลับอเมริกา ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ในทะเลทรายเพื่อหยุดสงคราม และก่อนที่เพื่อนของเขาจะตามหาและวนเวียนอยู่นั้น โนแลนต้องผ่านเวลามา 3 ชั่วโมงแล้วแน่ๆ เก็บไว้ในองค์ประกอบทั้งหมด เขาไม่ได้อธิบายภาพยนตร์อย่างที่ใครบางคนอธิบาย และเขาไม่ได้พูดถึงการสร้างระเบิด นอกจากนี้ การทำระเบิดเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของเรื่องเท่านั้น มีข้อความแจ้งว่ากำลังส่งข้อความ อธิบายอารมณ์และความคิดที่ซับซ้อนทั้งหมดของออพ ตำนานเชื่อมโยง อธิบายความหมายของสงคราม อธิบายวิสัยทัศน์ทางการเมืองและบอกถึงการปฏิบัติต่อบุคคลสำคัญของรัฐเมื่อเลิกใช้แล้ว ข้อสุดท้าย น่าสนใจมาก
จะว่าไปแล้วหนังทำให้คนดูคิดว่ากำลังจะไปดูการประดิษฐ์ระเบิดปรมาณูที่สร้างขึ้นเพื่อยุติสงคราม แต่ไม่มีการต่อสู้ใดจบลงที่นี่ในแง่ของการผลิต ฉันชอบที่โนแลนใช้กล้อง IMAX เพื่อจับภาพฉากและสเกลทั้งหมด ใบหน้าของบุคคลในระยะใกล้เพื่อให้ผู้ชมสามารถเห็นสีหน้าแววตาของบุคคลนั้นได้อย่างชัดเจน แบบจำลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ไม่มี CG เพื่อใช้ประโยชน์จากเอฟเฟกต์เสียง ทุกครั้งที่เกิดการระเบิด ผู้ชมทั้งหมดรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากที่นั่งที่พวกเขานั่งอยู่ ทำให้เหมาะที่จะดูภาพนี้บนจอใหญ่เช่น
IMAX ในฐานะทีมผู้สร้างได้เลือกคิลเลียน เมอร์ฟี่มารับบทนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของออพเพนไฮเมอร์ เขาคือคำตอบ เพราะเขาแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนของตัวละครนี้ได้ดี เป็นโชว์ที่สดใสแสดงอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง สมกับที่พา Robert Downey Jr. ในบทบาทของลูอิส สเตราส์ ผู้กุมอำนาจและแข่งขันในราชสำนักของออป. เพนไฮเมอร์ เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่มีผลงานน่าประทับใจจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยคนดังในวงการที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าเรื่องของพวกเขาจะรับค่าตัวหรือไม่ก็ตาม แต่เชื่อเถอะ ตอนนี้พวกเขามีบทบาทเพียงฉากหนึ่งของหนังจากผู้กำกับที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ถือเป็นความภูมิใจและเป็นเกียรติประวัติในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ขอบคุณ Nolan ที่สร้างเรื่องราวในครั้งนี้ โลกกลัวหายนะนิวเคลียร์ เพราะหนังใช้พลังของตัวเองส่งสารสำคัญไปทั่วโลกเพื่อสร้างและกักตุนอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในโลกปัจจุบัน
รีวิวหนัง Oppenheimer เป็นหนังอีกเรื่องของปีนี้ที่น่าติดตามและดูตั้งแต่เข้าฉาย นับเป็นผลงานล่าสุดของนักทำหนังหนุ่มสไตล์จริงจัง นี่คือ Oppenheimer มหากาพย์สงครามโลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหลในบรรยากาศและฟิสิกส์ที่ทรงพลัง